พูดง่ายๆ คือ เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมทุกระบบของร่างกาย เห็นความสำคัญของโกรทฮอร์โมนกันแล้วแต่เป็นที่น่าเศร้าคือ หลังจากคนเรามีอายุ 25 ปีแล้ว ฮอร์โมนนี้จะลดลง 15% ทุกๆ 10 ปี จนเมื่ออายุ 60 ปี โกรทฮอร์โมนจะลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของวัยหนุ่มสาว แล้วเกิดอะไรขึ้นทราบไหม ผลร้ายที่ตามมาจากการลดลงของฮอร์โมนตัวนี้คือ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนหลับไม่สนิท ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานช้าลง ส่งผลให้อ้วนง่าย ความจำแย่ลง เซ็กส์เสื่อมลง
และอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและอื่นๆอีกมากมาย แถมยังทำให้ริ้วรอยแห่งความชราบนใบหน้านั้นมาเยือนเร็วและชัดเจนขึ้น
ความอ้วนที่อาจเกิดจากความผิดปรกติของฮอร์โมน ซึ่งหลายๆคนที่ประสบกับปัญหาความอ้วน คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาไขมันที่สะสมพอกพูนออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทางการแพทย์บอกว่านั่นอาจเป็นความอ้วนที่เกิดจากความผิดปรกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุมาจากกลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือไม่อ้วน แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้
สาเหตุที่คนที่อ้วน หรืออ้วนแบบลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า metabolic syndrome ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่เราพบสาเหตุที่สำคัญว่าเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว แล้วถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้
จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
แบบนี้แล้วจะทำอย่างไรที่จะหาทางเพิ่มโกรทฮอร์โมนให้กับร่างกาย คำตอบก็คือเราสามารถกระตุ้นต่อมใต้สมองให้สร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมนตามธรรมชาติออกมาได้ด้วยหลายวิธี ดังต่อไปนี้
1. ออกกำลังกายช่วยได้ เพราะการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5-6 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมนด้วยตัวของมันเองตามธรรมชาติได้
2. พักผ่อนให้เพียงพอ และตรงเวลาทุกวัน โดยเฉพาะช่วง 4 ทุ่มถึงตี 5 เป็นช่วงเวลาของการหลั่งโกรทฮอร์โมน
3. เลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ฮอร์โมนความเครียดออกฤทธิ์ต้านโกรทฮอร์โมนโกรธ ทำให้แก่เร็ว และใช้การฝึกสมาธิเพราะการฝึกสมาธิช่วยฟื้นฟู และปรับสภาพต่อมใต้สมองให้ทำงานดีขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนออกมาเองจากกระบวนการของร่างกาย
แต่ปัจจุบันทางการแพทย์มีวิธีการเพิ่ม Growth Hormone ในผู้สูงอายุให้กลับดูเป็นหนุ่มสาวขึ้น กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา และผิวพรรณเต่งตึงขึ้นได้ด้วยวิธีการฉีดโกรทฮอร์โมนเข้ากล้ามเนื้อ ใต้ชั้นผิวหนัง แต่มีข้อเสียคือหากร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนมากเกินไป จะทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายรวนได้ ที่สำคัญคือโกรทฮอร์โมนที่ทางการแพทย์ใช้ฉีดนั้น จัดเป็นยาชนิดหนึ่งจึงต้องมีการดูแลและควบคุมการใช้โดยแพทย์เท่านั้น ส่วนโกรทฮอร์โมนในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชนิดรับประทาน หรือสเปรย์อมใต้ลิ้น พ่นทางจมูก หรืออาจเป็นน้ำหยอดใต้ลิ้น หรือเป็นแผ่นปิดบนลิ้นหรือรูปแบบอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นทะเบียนในรูปของอาหารเสริม จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ย่อมแตกต่างกับโกรทฮอร์โมนที่แพทย์ใช้แน่นอน